วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โทรศัพท์มือถือ โนเกีย

ประวัติ โทรศัพท์มือถือ โนเกีย
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ภาพของนักธุรกิจเช็คอีเมล์ เด็กวัยรุ่นฟังเพลง MP3 สาวอินเทรนด์ท่องเว็ปช๊อปปิ้ง โดยทุกอย่างนี้ทำได้โดยตรงจากโทรศัพท์มือถือ ดูแล้วอาจจะเหมือนภาพของภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ในวันนี้กลับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา และสิ่งเหล่านี้พัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งจากฝีมือของผู้นำทางด้านโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่...โนเกีย
ทุกวันนี้ สโลแกน "Connecting People" ได้เปิดประตูสู่โลกของโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายให้แก่โนเกียอย่างแท้จริง ไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทยักษ์ใหญ่ เจ้าของสโลแกนนี้ กับโทรศัพท์มือถือประทับแบรนด์โนเกียที่หลายๆ คนกำลังถืออยู่ในมือ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ถึงความเป็นมาของโนเกียนั้นเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยอดนิยม ที่ติดอันดับขายดีที่สุดของโลกอย่างเช่นในทุกวันนี้นั้น เชื่อหรือไม่ว่าโนเกียเคยเป็นโรงงานผลิตกระดาษ ยางไม้  และสายเคเบิ้ลมาก่อน ลองมาทำความรู้จักกับอุปกรณ์สื่อสารที่คุณถืออยู่ในมือให้มากยิ่งขึ้นกันดีกว่า
โนเกีย Nokia
กำเนิดโนเกีย
โนเกียไม่ได้เริ่มธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิคเป็นพื้นฐานอย่างแรกของบริษัท แต่ได้เปิดบันทึกหน้าแรกของประวัติาศาสตร์ด้วยการเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษ โดยมีวิศวกร Fredrik Idestam เป็นเจ้าของ
ย้อนเวลากลับไปยังปี ค.ศ. 1865 บริษัทโนเกียได้ก่อตั้งขึ้นบนริมฝั่งแม่น้ำ Nokia (โนเกีย) แม่น้ำสายใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ และทะเลสาบ นับว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างมากในการทำธุรกิจเยื่อกระดาษในย่านนี้ และกลายมาเป็นโรงงานผู้ผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ Idestam ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอในการทำงานด้านธุรกิจ จึงจำเป็นต้องหยิบยืมเทคโนโลยีมาจากประเทศเยอรมันในปี 1866 แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาพัฒนาบริษัทขึ้น
โนเกีย Nokia
ต่อมาในปี 1867 นวัตกรรมที่ Idestam คิดค้นขึ้นก็ได้ ชนะรางวัลเหรียญทองแดง ในงาน Paris Wood Exposition ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นับแต่วันนั้นมา ชื่อของโนเกียได้กลายมาเป็นที่รู้จัก โนเกีย จึงได้ฉวยโอกาสนี้ประทับแบรนด์ของเขาบนผลิตภัณฑ์ทุกชนิด สร้างชื่อเสียงได้มากขึ้น จนกระทั่งเครื่องผลิตกระดาษ ได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตเยื่อไม้ในปี 1880 และ ได้มาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของโนเกีย จนเรียกได้ว่าร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์นั้น คือ กระดาษห่อสีน้ำตาล รวมไปถึงวอลเปเปอร์สี
ต่อมาในปี 1902 Idestam ได้ขยายธุรกิจจากโรงงาน กระดาษมาสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจกระดาษที่ทำอยู่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก จึงได้ตัดสินใจสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเองในปี 1903 แต่แล้วในช่วงสงครวมโลกครั้งที่ 1 มรสุมใหญ่ก็ผ่านเข้ามา ธุรกิจส่งออกกระดาษ ของโนเกียได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะาขาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันนั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการ ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้านกระดาษที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้ในระดับหนึ่ง
และในปี 1918 บริษัท Finnish Rubber Works (FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของโนเกีย ได้มาเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโนเกีย หลังจากที่โนเกียไม่สามารถรองรับการขาดทุนของธุรกิจได้ จนต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท FRW แทน
จากนั้นในปี 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านสายเคเบิ้ล และสายโทรศัพท์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Nokia group จากความสนใจของบริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกัน แต่โนเกียก็ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท คือกระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้าายาง ยางรถยนต์) และสายเคเบิ้ล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของโนเกีย
โนเกีย Nokia
ยุคของอิเล็กทรอนิคกับโนเกียได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1977 ภายใต้การดูแลของ Kari Kairamo ประธานบริษัท ซึ่งได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา แตกต่างจากรุ่นก่อน หน้านี้ที่จะมีหัวไปทางรัสเซีย โดยผลิตสินค้าส่งออก คือ สายไปเคเบิ้ล ให้กับ ประเทศรัสเซีย Kairamo นำแนวคิดแบบตะวันตก และแหวกแนวมาประยุกต์มุ่งเน้นให้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิคให้เข้ากับ ยุคแห่งพลังงานจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักของโนเกียในยุคนี้เป็นต้นมา โดยผลิตโทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ออกมาเบิกทางในตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการติดอันดับผู้ผลิตโทรทัศน์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของยุโรปเลยทีเดียว
ก้าวมาสู่ยุคแห่งการสื่อสารไร้สายในการนำของรองประธานกรรมการอาวุโส และกรรมการบริหารการเงิน Jorma Ollila ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่ปี 1992 - 1999 และ CEO ของโนเกียในปี 1999 จนตราบถึงทุกวันนี้ ด้วยแนวคิดของ Ollila ภายใต้การดูแลของ Kairamo นั้น โนเกียกับโทรศัพท์มือถือจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
โนเกีย Nokia
โดยในยุคแรกนั้นจะเป็น NMT Mobile Phone Standard (Nordic Mobile Telephony) หรือโทรศัพท์มือถืออนาล็อครุ่นแรกนั่นเอง และได้รับความนิยมอย่างสูงเมื่อเผยโทรศัพท์ NMT รุ่นแรกในปี 1987 โดยมีสโลแกน "Connecting People" กับแนวคิดที่ต้องการเปิดอิสระและความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสาร จนกระทั่งกลายมาเป็นคำที่อยู่ในใจของผู้รักโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันกันถ้วนหน้า
ไม่นานระบบเครือข่ายที่ดีขึ้นก็เป็นที่ต้องการในสังคม โนเกียจึงพัฒนาเครือข่าย GSM ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับ Radiolinja บริษัทของฟินแลนด์ เมื่อปี 1989 ณ จุดนี้เองที่ Nokia 1011 บรรพบุรุษของบรรดาโทรศัพท์ มือถือในยุคปัจจุบันได้ออกมาสู่สายตาของทุกคนเป็นครั้งแรกในปี 1992 จากนั้นโนเกียก็ได้ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจหลักเป็นต้นมา
โนเกีย Nokia
โนเกียไม่ได้ผลิตเพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ยังพัฒนาอุปกรณ์เสริม และเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันในตัว แนวคิดแรกที่ถือว่าโนเกียเป็ยผู้บุกเบิกเลยก็คือ ความสามารถในการเปลี่ยนหน้ากากซึ่งได้กลายเป็นลูกเล่นหลักของโทรศัพท์มือถือ จากโนเกียในเวลาต่อมา นอกจากนี้เทคโนโลยีการสนทนาอย่าง Push - to - Talk (PTT) กับโทรศัพท์มือถือก็มาจากโนเกียอีกเช่นกัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2006 บริษัท Siemens AG ได้เข้ารวมกับโนเกียในการพัฒนาธุรกิจเครือข่าย มุ่งหวังจะกลายเป็นบริษัทเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งเท่าเทียมกันที่ร้อยละ 50 และอยู่ในนามของ Nokia Siemens Networks คงต้องติดตามประวัติศาสตร์อีกก้าวหนึ่งของโนเกีย ในด้านเครือข่ายต่อไปในอนาคต
ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าโนเกีย ได้กลายมาเป็นผู้นำทางด้านโทรศัพท์ มือถือที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลก และได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยเช่นกัน ทุกวันนี้ สำนักงานใหญ่ของโนเกียก็ยังคงตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโนเกีย อย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่อดีตและต่อไปในอนาคต

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติ dota



                        DotA มาจากการย่อของคำว่า Defense of the Ancients โดยกล่าวถึงการป้องกันของ Ancient ซึ่งก็คือ Night Elf ต่อการรุกรานของ Burning Legion ตามเนื้อเรื่องเดิมของวอร์ออฟปลาคราฟ (จริงๆ คือ Warcraft ภาคปกติ ที่เป็น RTS - Real Time Strategy) แต่เนื้อเรื่องในตรงนี้ถูกโฟกัสมาให้เข้าใจได้ง่าย และสามารถเล่นได้อย่างสนุกสนานโดยผ่านทางการตีป้อมและสู้รบกันโดยใช้ฮีโร่

   เนื่อง จากตามภาษาอังกฤษชื่อเฉพาะ และศัพท์สำคัญในชื่อไตเติลต่าง ๆ จะมีตัวอักษรที่ใหญ่ แต่คำศัพท์อื่นที่ไม่สำคัญ เช่นคำเชื่อมจะใช้อักษรตัวเล็ก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าชื่อของแมพนี้จะถูกเขียนว่า Defense of the Ancients โดยเมื่อเอามารวมกันจะได้คำว่า DotA นั่นเอง นี่จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไม D กับ A ถึงตัวใหญ่ แต่ o กับ t ถึงตัวเล็ก

   ส่วนวิธีการอ่านนั้น ตามภาษาอังกฤษหากเป็นชื่อย่อจะให้อ่านเป็นคำใหม่ไปเลย ไม่ใช่อ่านตามตัวอักษรย่อแต่ละตัว เช่นคำว่า "FIFA" จะอ่านว่า "ฟีฟ่า" ไม่ได้อ่านว่า "เอฟไอเอฟเอ" ซึ่งตรงกันข้ามกับภาษาไทย เช่น "กทม." จะอ่านว่า "กอทอมอ" ไม่ใช่ "กะทม" ดังนั้นจึงทำให้คนไทยหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า "DotA" อ่านว่า "ดอทเอ" แต่ที่จริงต้ิองอ่านว่า "โดต้า" ต่างหาก
   ดังนั้น การอ่านคำว่า "DotA" ว่า"ดอทเอ" จึงถือว่านู๊บ เช่นเดียวกับการอ่านคำว่า "FIFA" เป็น "ฟิฟฟ์เอ"   

{{คำ ว่า "DotA" สามารถอ่านได้ทั้ง "ดอทเอ" และ "โดต้า" เพราะว่า Dตัวใหญ่ Aตัวให้ o t ตัวเล็ก ก็จะเป็น "Dot - A" แต่ในบางคราวก็มีการเขียนตัวใหญ่ทั้งหมดเช่นกัน}}

{{ในความเป็นจริง แล้วคนที่มัวแต่จะคิดว่า อ่านแบบไหนถูกต้อง คนนั้นแหละคือเกรียนตัวจริง จะไปใส่ใจอะไรมากมาย ถ้าเกิดมีคนเรียกว่าดอทเอ แล้วผู้เล่นไม่รู้ว่าเกมส์อะไรก็ค่อยพิจารณา}}

{{คำว่า DotA หากเอาไปให้ Programer อ่าน 99% ของ Programer จะอ่านว่า ดอทเอ เพราะว่าภาษาคอมพิวเตอร์จะแยกแยะประโยคจาก _ หรือ ตัวใหญ่ เพราะคำสั่งของภาษาคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่แล้ว ไม่อนุญาติให้มีการเว้นวรรคเพราะฉนั้นตัวอักษรตัวใหญ่จะเป็นตัวแบ่งคำแทนการ เว้นวรรคนั้นเอง}}

{{ในความเป็นจริงแล้วนั้น ทาง Ice Frog เรียก map ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาว่า ดอทเอ เพราะมันถูกนำมาจากตัวย่อ มันเป็นคำที่ไม่มีความหมาย และ Ice Frog ส่วนใหญ่ก็เป็น Programer จึงไม่แปลกที่ Ice Frog จะเรียกว่า ดอทเอ แต่ก็มีกลุ่มผู้เล่นส่วนใหญ่ในขณะนั้นที่เรียก โดต้า จึงทำให้เป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มมากในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบัน Ice Frog ก็ไม่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าตกลงมันจะเรียกอะไร เพราะมันไม่ได้สำคัญ จะเรียกว่า ดอทเอ หรือ โดต้า ก็เข้าใจได้ตรงกัน}}

{{สรุป ได้ก็คือ ไม่ว่าจะเรียกว่า โดต้า หรือ ดอทเอ ก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่า "ผิด" คนที่มัวแต่บอกว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด คือ คนที่ชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ หากฝั่งที่เรียก ดอทเอ บอกว่าคนที่เรียก โด้ต้า ผิด มันก็เกรียนเหมือนกัน หากแต่ว่า ณ ปัจจุบัน ฝ่ายโดต้าจะโจมตีฝ่ายดอทเอซะมากกว่า ซึ่งจะดูได้จากบอร์ดหลายๆ บอร์ด และใน wiki นี้เช่นกัน)

Shadow Fiend

ในสงคราม The Burning Legion ที่เผาผลาญโลก Azeroth มาถึงสามครั้ง เป็นการรุกรานจากเหล่ากองทัพอสูร และพวกปีศาจจากนรก (Demon & Infernals) สงคราม The Burning Legion นอกจากจะสร้างรอยแผลให้โลก Azeroth และเป็นที่มาของเหล่า Undead Scourge กับ Lich King เหล่าอสูรและปีศาจยังให้กำเนิดความชั่วร้ายอีกตนหนึ่งขึ้นมา
The Shadow Fiend แม้กำเนิดจากเงามืดกับความชั่วร้าย แต่เหล่าอสูรต่างชิงชัง เพราะเป็นชีวิตที่เกิดมาดูดซับดวงวิญญาณรอบข้าง ผิวกายของมันเกิดจากการรวมตัวของหลากหลายดวงวิญญาณ แม้แต่ดวงวิญญาณของมิตรสหาย เมื่อเกิดสงคราม Defense of The Ancients ชาโดว์ ฟีนด์ จะปลดปล่อยพลังวิญญาณที่มันสะสมเอาไว้ออกมากลายเป็นพลังร้ายกาจ สร้างความหวาดกลัวให้เหล่าศัตรู
ชาโดว์ ฟีนด์ มีพลังอย่างหนึ่งที่น่ากลัว คือการยืมพลังจากความมืด สร้างความอ่อนแอให้ศัตรู และมันยังสามารถบรรเลงบทสวดแห่งดวงวิญญาณ ทำลายล้างและสร้างความหวั่นแก่เหล่า Sentinel ได้อย่างน่าพรั่นพรึง ยากจะมีใครรอดชีวิต แม้รอด ก็ตกอยู่ในเงื้อมมืออันชั่วร้าย ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่น่าชิงชังตลอดกาล
The Shadow Fiend มีชื่อที่เรียกขานกันว่า Nevermore ซึ่งแปลว่า ไม่…อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ฯลฯ ผู้พัฒนาเกม Dota ให้เหตุผลว่า ชื่อ Nevermore มาจากวรรณกรรมประเภทบทกวีเรื่อง The Raven เขียนโดย Edgar Allan Poe เป็นเรื่องราวของ กาตัวหนึ่งที่สามารถพูดได้ มันมักจะไปยั่วยุเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยสูญเสียคนรักไป ด้วยคำพูดว่า “…Nevermore”
Nevermore กำเนิดจากความชั่วร้าย จากเงามืดที่ซ่อนสุมในจิตใจของทุกชีวิต ผู้ที่พลั้งพลาดจะถูกมันดูดกลืนดวงวิญญาณ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อใดที่บทเพลงแห่งความตายถูกบรรเลงขึ้นมา (The Requiem of Souls) เหล่าศัตรูจำต้องหวาดกลัวสุดกำลัง ภาพสุดท้ายก่อนเหยื่อสังหารจะแหลกสิ้น คือเงามืดของปีศาจร้ายที่ถูกขนานนามว่า The Shadow Fiend

Storm Spirit

ในนาทีวิกฤติแห่งสงคราม เหล่า Sentinel ได้อัญเชิญพลังจากสรวงสวรรค์ พลังวิญญาณแห่งสายฟ้า (Storm Spirit) ธาตุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแพนดาเรน (Pandaren) ผู้มีนามว่า ไรจิน ธันเดอร์เคิร์ก (Raijin Thunderkerg) ถึงแม้ว่าวิญญาณของแพนดาเรนจะสูญสิ้น แต่พลังยิ่งใหญ่จะถือกำเนิดทดแทนในร่างใหม่ทั้ง 3 ร่าง และไรจินก็คือหนึ่งในร่างนั้น
ไรจินมีพลังมากมายในตัวเอง และเป็นพลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นพลังลี้ลับ สร้างแรงเหนี่ยวนำของกระแสไฟฟ้าให้เป็นอาวุธร้ายกาจแก่เหล่า Sentinel
Storm Spirit เป็นร่างแยกของเผ่าแพนดาเรน พวกชาแมนสามารถเรียกใช้พลังของ Storm Spirit ได้ เดิมที Storm Spirit ถูกเรียกกันในชื่อของ ธาตุแห่งสายฟ้า (Essense of Storm) หรือ แพนด้าสายฟ้า (Storm Panda) ซึ่งแพนดาเรน บรูวมาสเตอร์ (แพนด้าผู้เชี่ยวชาญการกลั่นเหล้า) จะมีพลังวิเศษ สามารถแยกร่างออกเป็น 3 ร่าง 3 ธาตุ คือ สายฟ้า (Storm Spirit) พสุธา (Earth Spirit) และ อัคคี (Fire Spirit)
ไรจินนับเป็นคู่ต่อสู้ที่มีพลังน่ากลัว เขาสามารถวาร์ปตัวเองด้วยพลังเหนี่ยวนำของสายฟ้า บุกทำลายเหล่า Undead Scourge อย่างรวดเร็วในพริบตา บินข้ามสมรภูมิทำลายล้างศัตรูในแบบที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว
ในสงคราม Defense of the Ancients ไรจินเป็นมิตรที่ดีที่สุดอีกคนหนึ่ง แม้เป็นพลังวิญญาณที่แยกออกจาก Pandaren Brewmaster แต่เขาก็มีพลังร้ายกาจ ยากยิ่งจะหาใครเทียม ในยามคับขัน จงเรียกหาเขา มิตรแท้แห่งป่า Bambus พลังวิญญาณแห่งสายฟ้า ไ

The Omniknight

ฮีโร่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นภาพลักษณ์ของ เจ้าชายอาร์ทัส เมเนธิล (Prince Arthas Menethil) เขามีนามในสงคราม Defense of The Ancients ว่า พูริส ธันเดอร์เวธ (Purist Thunderwrath) หนึ่งในสมาชิก ภาคีนักรบศักดิ์สิทธิ์ (The Order of The Siver Hand) พูริสเข้าร่วมกับฝ่าย Sentinel เพื่อล้างแค้นให้กับผู้นำภาคีนักรบศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คือ อัทเทอร์ (ผู้เรียกแสงสว่างอัทเทอร์ : Uther The Lightbringer) พูริสได้รับการฝึกปรือการรบจากอัทเทอร์ เพื่อเป็นพาลาดิน (นักรบศักดิ์สิทธิ์ : Paladin)
เขาสามารถใช้พลังแสงศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Light) ในสนามรบ สามารถรักษาบาดแผลของเพื่อนร่วมสงครามได้ สามารถสร้างเกราะศักดิ์สิทธิ์ปกป้องพลังมนตร์ดำได้ และลำแสงศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ยังสามารถทำลายล้างเหล่า Undead Scourge ได้อีกด้วย และในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด เขาสามารถอัญเชิญพลังเทพเจ้าสร้างเกราะไร้เทียมทานปกป้องตัวเขาและเหล่าสหายได้
ในเรื่องราวของโลก Azeroth พูริส ธันเดอร์เวธก็คือเจ้าชายอาร์ทัส เมเนธิล รัชทายาทแห่งอาณาจักรลอร์ดารอน (Lordaeron : อาณาจักรของเผ่าพันธุ์มนุษย์) นอกจากนี้เจ้าชายอาร์ทัสยังเป็นสมาชิกภาคีนักรบศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอรสของกษัตริย์ เทอเรนาส เมเนธิลที่ 2 (King Terenas Menethil II) เจ้าชายอาร์ทัสได้รับการฝึกปรือการรบจากอัทเทอร์ และเป็นคนรักของ ไจน่า พราวด์มัวร์ (Jaina Proudmoore : Crystal Maiden)

↓ ดาบ Frostmourne

แม้ว่าในจุดเริ่มต้น จะเป็นไปตามสัญญาที่เจ้าชายอาร์ทัสให้ไว้กับกษัตริย์เทอเรนาสพระราชบิดา นั่นคือการไปนำดาบฟรอสท์มัวร์ (Frostmourne) มาทำลายล้างพวก Undead Scourge แต่เมื่อเจ้าชายอาร์ทัสได้ครอบครองดาบฟรอสท์มัวร์ ซึ่งเป็นเครื่องรางต้องสาปโบราณสถิตใน The Frozen Throne ศูนย์กลางพลังของ Lich King ผู้ชั่วร้าย อาร์ทัสถูกครอบงำ จนกลายร่างเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมอำมหิตและน่าสะพรึงที่สุดเท่าที่โลก Azeroth เคยรู้จัก เขากลายเป็นอัศวินแห่งความตาย เป็นผู้นำกองทัพ Undead Scourge เข้าทำลายล้างอาณาจักรลอร์ดารอน และในที่สุดเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Lich King
เจ้าชายอาร์ทัสเป็นเหมือนอุทาหรณ์ของผู้คนในโลก Azeroth เขาต้องสูญสิ้นจิตใจ สูญเสียอาณาจักร และกษัตริย์เทอเรนาส เมเนธิลที่2 พระราชบิดา ก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของเขาเอง เพียงเพราะพลังชั่วร้ายจาก Lich King เข้าครอบงำ ไม่สามารถควบคุมจิตใจด้านมืดของตัวเองได้ โลก Azeroth ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว จนเมื่อถึงจุดจบของเจ้าชายอาร์ทัส ดาบฟรอสท์มัวร์ถูกทำลาย ก่อนสิ้นใจ เขาได้กล่าวแก่ดวงวิญญาณของกษัตริย์เทอเรนาสว่า Father Is it… over? I see… only darkness…
ท่านพ่อ… ทุกอย่างจบสิ้นแล้วใช่ไหม? ลูกเห็นเพียง…. ความมืด…
เจ้าชายอาร์ทัสคือผู้เสียสละ หากความเข้มแข็งในจิตใจถูกประทานมาพร้อมลำแสงศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า พาลาดินผู้หาญกล้าอย่างเจ้าชายอาร์ทัส ก็คงจะกอบกู้โลก Azeroth จากพวก Undead Scourge ได้อย่างแน่นอนรจิน ธันเดอร์เคิร์ก

Sand King

คริซาลิส (Crixalis) ราชาแห่งทะเลทราย หลบหนีจากทะเลทรายในทวีปคาลิมดอร์ (The Deserts of Kalimdor) จากเหตุการณ์ที่ Lich King บุกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ สภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายเกินหยั่งถึง ได้เปลี่ยนรูปร่างของคริซาลิสให้กลายเป็นผู้ควบคุมผืนปฐพี (Master of Earth) คริซาลิสสามารถถลกหนังของศัตรูได้ด้วยพายุทรายที่ร้ายกาจ และเมื่อศัตรูถูกคริซาลิสสังหาร ร่างศพจะถูกฝังพิษและระเบิดออกเป็นเสี่ยง สร้างหมอกพิษให้ฟุ้งกระจายไปทั่ว

Lich King สัมผัสได้ถึงพลังอันร้ายกาจนี้ และต้องการใช้พลังของคริซาลิสมาเป็นกำลังให้ฝ่าย Undead Scourge โดยเฉพาะพลังการควบคุมคลื่นแผ่นดินไหวที่สามารถทำลายล้างทุกอย่างให้บรรลัยได้ในพริบตา
แต่ทว่า Lich King ที่ออกค้นหาคริซาลิส ก็ไม่สามารถใช้พลังครอบงำคริซาลิสให้เข้าร่วมฝ่าย Undead Scourge ได้ กระทั่งในที่สุด คริซาลิสก็ได้เข้าร่วมกับพวก Nerubian อาณาจักรของเหล่าแมลง และกลายเป็นผู้พิทักษ์ของอาณาจักรโบราณ เนรูเบียน (Nerubian Kingdom) ไปโดยปริยาย

Epicenter พลังการควบคุมคลื่นแผ่นดินไหวอันน่ากลัวของ Sand King

อัสจอล เนรูบ (Azjol-Nerub) เป็นอาณาจักรของพวกแมลง อยู่ใต้ผืนดินแถบทวีปทางตอนเหนือ มีขนาดกว้างใหญ่มโหฬาร ทางเข้าอาณาจักรอัสจอลเนรูบ เรียกว่า หลุมแห่งนาร์จัน (Pit of Narjun) ซึ่งเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าสุสานมังกร ก่อนที่อาณาจักรอัสจอลเนรูบจะถูกทำลายโดยพวก Undead Scourge มีการสั่งสมภูมิความรู้มากมาย เช่น หลักปรัชญา, วรรณคดี และตำนานเกี่ยวกับเวทมนตร์
อาณาจักรอัสจอลเนรูบเป็นการรวมอาณาจักรเก่าและอาณาจักรส่วนหนึ่งบนพิภพ ซึ่งปกครองโดยพวกคนแคระ (Dwarve) ขณะที่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรถูกยึดครองโดยเหล่า Undead Scourge และส่วนที่อยู่ใต้พิภพลงไปปกครองโดยเหล่า Nerubian
นักสำรวจ บราน เคราทองแดง (Brann Bronzebeard ) เห็นโอกาสที่จะขอความร่วมมือจากพวก Nerubian ในการกำจัดเหล่า Undead Scourge เพราะลำพังกำลังของพวกมนุษย์ (Alliance Faction) ไม่เพียงพอที่จะต่อสู้ เมื่อทั้งมนุษย์และเนรูเบียนต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน จึงหันมาร่วมมือกัน ในปัจจุบัน ว่ากันว่าบางส่วนของอาณาจักรอัสจอลเนรูบ ถูกปกครองโดยพวก Faceless Ones ซึ่งเป็นอสูรกายที่อาศัยอยู่แถบนั้น
แม้ว่าคริซาลิสจะสูญสิ้นดินแดนของตนในทะเลทรายแห่งคาลิมดอร์ หรือแม้ต้องหลบลี้หนีจากการถูก Lich King ครอบงำ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่าย Sentinel หากแต่เลือกที่จะเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรอัสจอลเนรูบของเหล่าแมลง นั่นอาจเป็นเพราะว่า มีเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกัน และพวกเนรูเบียนก็ต่อต้านพวก Undead Scourge อีกด้วย
พลังอันยิ่งใหญ่และน่ากลัวของคริซาลิส ไม่ว่าจะตกเป็นของฝ่ายใด แต่เขาก็มีหนทางของตัวเอง และยังคงได้ชื่อว่า Crixalis The Sand King ผู้ควบคุมผืนธรณี ราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลทรายคาลิมดอร์

The Vengeful Spirit

Shendelzare Silkwood (เชนเดลแซร์ ซิลค์วูด) เธอเป็นสตรีนักรบวอร์เดนที่ทรงพลัง และเป็นพี่น้องกับ Mortred (มอร์ตเทร็ต : Phantom Assassin) แต่เสียงหัวร่ออย่างบ้าคลั่งกับหน้ากากที่มอร์ตเทร็ตสวมใส่อยู่นั้น กลับเป็นภาพที่ตามหลอกหลอนเชนเดลแซร์เรื่อยมา
เมื่อองค์เทพี Elune เทพีแห่งดวงจันทร์ได้สดับเรื่องการตายของเชนเดลแซร์ ก็เศร้าเสียใจอย่างมาก ไม่อาจทอดทิ้งเชนเดลแซร์ได้ี จึงเนรมิตร่างใหม่ให้เชนเดลแซร์ พร้อมทั้งมอบพลังวิเศษอันเป็นพลังจากโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณของเชนเดลแซร์โชติช่วงกลายเป็นดวงวิญญาณแห่งการต่อสู้ หากแต่เต็มไปด้วยความพยาบาท เชนเดลแซร์เป็นหนึ่งในผู้นำกองทัพ Sentinel เธอไร้ซึ่งความหวาดกลัว และเสื้อผ้ากับหน้ากากที่เธอสวม ก็เป็นเครื่องสวมใส่แห่งความตายที่คอยย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีต
เชนเดลแซร์ถูกทรยศหักหลังและถูกฆ่าโดยมอร์ตเทร็ต ผู้ซึ่งเชนเดลแซร์ให้ความรักและไว้ใจที่สุด ในลมหายใจสุดท้าย เธออธิษฐานต่อเทพี Elune เพื่อขอโอกาสกลับมาแก้แค้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้ร่างกายแหลกสิ้นไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของเธอยังคงลุกโชนด้วยเพลิงแค้น เชนเดลแซร์เป็นมิตรที่ดีอีกคนหนึ่ง เธอรักพวกพ้อง แต่เธอเป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับเหล่าศัตรู เธอสามารถใช้พลังจากโลกวิญญาณ อันเป็นพลังงานเวทมนตร์ไร้ธาตุ สามารถสลับปรับเปลี่ยนดวงวิญญาณกับร่างกายของอีกฝ่ายได้
The Vengeful Spirit หมายถึง ดวงวิญญาณที่ตามพยาบาท ด้วยปมในอดีตกับความตายที่เกิดจากการถูกทรยศหักหลัง ทำให้เชนเดลแซร์หมกมุ่นอยู่กับการล้างแค้น เธอทำทุกวิถีทางแม้จะต้องเสียสละดวงวิญญาณของตัวเอง พลังเวทมนตร์ Magic Missile ของเธอสร้างความเสียหายได้อย่างร้ายกาจ ซ้ำร้ายยังสามารถทำให้ศัตรูมึนงงไปชั่วขณะ คลื่นเสียงแห่งความน่าสะพรึงที่สามารถทำลายเครื่องป้องกันของเหล่าศัตรูได้ สิ่งที่เห็นได้ชัดในตัวของเธอก็คือการไล่ล่าล้างแค้นมอร์ตเทร็ต เธอจึงเข้าร่วมกับฝ่าย Sentinel แต่จิตใจที่เปรอะเปื้อนไปกับความพยาบาท ทำให้เธอยังคงเป็นผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และทุกครั้งที่เธอใช้พลังเวทมนตร์อันร้ายกาจสลับตำแหน่งกับอีกฝ่ายในชั่วพริบตา เธอไม่เคยใส่ใจเลยว่าตัวเธอจะปลอดภัยหรือต้องไปตกอยู่ในวงล้อมศัตรู ขอเพียงนั่นคือโอกาสที่จะได้แก้แค้น เธอก็ยินดี และนี่ก็คือความหมายของการมีอยู่ของดวงวิญญาณแห่งความพยาบาท ดวงวิญญาณที่มีนามว่า เชนเดลแซร์ ซิลค์วูด

Butcher

อสูรกายยักษ์เผ่าผีดิบนามว่า Pudge (ปัดจ์) ที่ดูเหมือนว่าจะมีพลังต่อต้านเวทมนตร์ในตัวเอง ตระเวนไปในสนามรบพร้อมความหิวโหยอันน่าขยะแขยง มันมักจะเลือกกินเหยื่อที่ประมาทเลินเล่อ เหยื่อของมันถูกจับอย่างง่ายดายเพียงพริบตาเดียว และสายตาของปัดจ์ก็แหลมคมว่องไวเกินกว่าเหยื่อของมันจะหลุดรอดไปได้

เมื่อตะขอลากเหยื่อของปัดจ์เกี่ยวไปโดนเหยื่อของมัน เลือดจะสาดกระจายจากเนื้อหนังที่แหว่งวิ่นส่งกลิ่นคาวคลุ้ง เสียงโอดครวญจากความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วทิศทาง ร่างกายของเหยื่อจะถูกกัดกินและกลืนหายไปในร่างที่แหลกเละสู่กระเพาะที่เน่าเหม็นใหญ่โตยิ่งกว่าอสูรกายเลือดเย็น ความน่ากลัวเกินการอธิบายของปัดจ์ราวกับความตายที่ย่องเงียบมาทางด้านหลัง กว่าจะเหยื่อจะรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัว ความตายก็เข้าครอบงำเสียแล้ว
Butcher หรือพวก Abomination เป็นอีกชื่อเผ่าหนึ่งที่มีความน่าขยะแขยงยากยิ่งจะกล่าวถึง หลบซ่อนตัวในสถานที่ที่เรียกว่า Black Temple ครั้งหนึ่งเคยโจมตีกองกำลังของ Kael’thas กับ Illidan พวก Abomination เป็นพวกผีดิบ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายพวกอ๊อค อาศัยอยู่ใกล้ๆกับแหล่งที่มีซากศพ ท้องของเหล่า Abomination แตกทะลักออกมาและส่งกลิ่นเหม็น มีควันสีเขียวลอยคลุ้งรอบๆตัวของมัน มีแขนขาบวมพองงอกออกจากร่างกาย ถือมีดปังตอเปื้อนเลือดสองอันกับโซ่เกี่ยวตะขอไว้ที่ปลาย ลิ้นของมันคดและห้อยออกจากปากจนเห็นซี่ฟันเป็นสีเหลือง
พวก Abomination ส่วนใหญ่โง่เขลาเหมือนพวกอ๊อค เป็นพวกไร้หัวใจและสิ้นหวัง มันจึงไม่ต่างจากพวก Undead Scourge เลย ในหัวของพวกมันคิดเพียงเรื่องกิน ไม่ใช่แค่เพียงมีชีวิตอยู่ แต่ความตายดีกว่าสำหรับพวกมัน

Crystal Maiden

หญิงสาวแสนสวยและสง่างาม เธอมีนามว่า Rylai Crestfall (รีไล เครสท์ฟอล) เป็นผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมพลังแห่งความหนาวเหน็บและพลังธาตุน้ำแข็ง เธอได้รับการฝึกฝนพลังเวทมนตร์จากพ่อมดนอกลัทธิคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในใจกลางป่าหิมะ Winterspring ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร Kalimdor (ภายหลังป่า Winterspring ถูกยึดครองโดยเหล่าปีศาจ)
รีไลอุทิศความกล้าหาญและพลังให้แก่ฝ่าย Night Elf Sentinel ด้วยพลังเวทมนตร์ที่มีอยู่มากมายในตัวเธอ สามารถทำให้ศัตรูอ่อนแอลงได้ในพริบตา ทั้งการสร้างความเจ็บปวดทรมานในก้อนน้ำแข็ง หรือแม้กระทั่งการแช่ศัตรูไว้ในกรงน้ำแข็ง ให้ความหนาวเย็นกัดกินทั่วร่าง  ความน่ากลัวของเธอคือการร่ายมนตราแท่งน้ำแข็งให้ร่วงลงจากฟากฟ้า ส่องแสงวิบวับแพรวพราว ก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยงขจัดศัตรูทุกตนที่ท้าทายพลังอำนาจของเธอ

พลังเวทมนตร์อันร้ายกาจของรีไล The Freezing Field

Crystal Maiden ในเรื่องราวของ Warcraft

สำหรับฮีโร่ Crystal Maiden นั้น ได้รับการพัฒนามาจากตัวละครที่ชื่อ Jaina Proudmoore จากมหากาพย์ Warcraft ไจน่า พราวด์มัวร์เป็นผู้นำแห่งเกาะเทอร์รามอร์ (Theramore Isle) ซึ่งเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของทวีปคาลิมดอร์
ไจน่าเป็นลูกสาวของลอร์ด แดลิน พราวด์มัวร์ (Admiral Daelin Proudmoore : ต้นแบบฮีโร่ Admiral Proudmoore) กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศคูลไทราส เธอมีพี่น้องอีกสามคนคือทันเดร็ด (Tandred), เดอเร็ค (Derek : เสียชีวิตในกองทัพเรือ Third Fleet ที่ต่อสู้กับพวกอ๊อค) และฟินแนล (Finnall Goldensword : พี่น้องต่างมารดาของไจน่า แม่ของหล่อนคือสตรีเผ่าเอลฟ์ ซึ่งลอร์ดแดลินไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้)
ไจน่าเป็นแม่มดสาวที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ที่สุดอีกคนหนึ่งแห่งโลกอเซอร์รอธ ทั้งที่เธอเป็นมนุษย์ธรรมดา เธอได้รับความไว้วางใจจากสภาคิรินทอร์ (Kirin Tor : วุฒิสภาผู้ใช้มนตราแห่งเมืองดาลารัน) เธอได้รับคำสั่งจากแอนโทนีดัส (Antonidas : ต้นแบบฮีโร่ Keeper of Light) เดินทางไปยังตอนเหนือของลอร์ดารอนเพื่อสำรวจหาต้นเหตุของโรคระบาด เธอเดินทางไปพร้อมกับเจ้าชายอาร์ทัส (Prince Arthas Menethil : ต้นแบบฮีโร่ Omniknight) ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กและเคยเป็นคู่รักกัน

เมืองดาลารัน

ภายหลังจากเหตุการณ์ล่มสลายของอาณาจักรลอร์ดารอนจากการรุกรานของพวก Undead Scourge (เจ้าชายอาร์ทัสถูกครอบงำโดย Lich King) ไจน่าได้รับการแนะนำจากผู้เวิเศษเมดีฟ (Medivh) ให้ตามหาผู้รอดชีวิตแล้วอพยพข้ามมหาสมุทรไปสู่ทวีปคาลิมดอร์
ไจน่าสาบานว่าจะต้องทำลายล้างพวกปีศาจและกองทัพอสูรให้ได้ เธอเข้าร่วมกับกองกำลังของเผ่า Night Elve และแม้แต่กับกองกำลังของพวกฮอร์ด (Horde : กองกำลังของพวกอ๊อค) ไจน่าร่วมมือกับทุกฝ่ายจนกระทั่งพวกเขาทำลายอาคิมอนเดได้ในที่สุด (Archimonde : อสูรตนหนึ่งผู้เป็นสมุนของจอมมารซาร์เจอร์ราส) และยุติการรุกรานของพวกปีศาจ หลังสงคราม ไจน่านำพามนุษย์ที่ยังคงรอดชีวิตในทวีปคาลิมดอร์เดินทางไปก่อตั้งอาณาจักรใหม่ที่เมืองท่าเทอร์รามอร์ และเธอก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง

ชีวประวัติของ Jaina Proudmoore

เธอเกิดในช่วงสงครามโลกอเซอร์รอธครั้งที่หนึ่ง เป็นลูกสาวคนสุดท้องของลอร์ดแดลิน พราวด์มัวร์ กษัตริย์แห่งคูลไทราส ซึ่งลอร์ดพราวด์มัวร์เป็นพันธมิตรสำคัญและยาวนานกับอาณาจักรลอร์ดารอน
ในสมัยเด็ก ไจน่าชื่นชอบเรื่องราวอันเป็นตำนานของผู้พิทักษ์แอ็กวีน (Guardian Aegwynn : หนึ่งในผู้พิทักษ์แห่ง Tirisfal ผู้คอยปกป้องโลกอเซอร์รอธ ซึ่งเธอเป็นผู้ที่กำจัดจอมมารซาร์เจอร์ราสในสงครามเมื่อครั้งบรรพกาล และเป็นมารดาของผู้วิเศษเมดีฟ) เมื่อพรสวรรค์การใช้เวทมนตร์ของไจน่าเผยออกมา เธอก็ถูกส่งตัวไปยังเมืองดาลารัน และได้รับการฝึกฝนจากแอนโทนีดัสเพื่อที่จะกลายเป็นแม่มดผู้ทรงพลังที่จะปฏิบัติภารกิจเพื่อดาลารัน และด้วยภาพของเลดี้แอ็กวีน ฮีโร่ในดวงใจของเธอกับการเฝ้ามองจากชาวลอร์ดารอน ทำให้ไจน่ามุ่งเน้นอยู่ที่การร่ำเรียนไม่ข้องแวะสิ่งอื่น
ด้วยฐานันดรศักดิ์ ทำให้ไจน่ากับเจ้าชายอาร์ทัสแห่งลอร์ดารอนได้พบเจอกัน และเติบโตมาด้วยกัน จากเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ เมื่อเติบใหญ่ก็กลายเป็นความรัก ทั้งสองตั้งใจที่จะร่วมชีวิตอภิเษกสมรสตามราชประเพณี แต่ทว่า… ในวันหนึ่งเจ้าชายอาร์ทัสกลับรู้สึกกังขาถึงความพร้อมที่จะร่วมใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน อาร์ทัสยุติสัมพันธ์รักในทันที
ไจน่าเจ็บปวดกับการตัดสินใจของอาร์ทัสอย่างมาก แต่เธอก็ไม่เรียกร้องหรือร้องขอสิ่งใด สิ่งใดจะเกิด มันก็ย่อมกิด เธอยอมรับโดยสดุดีและเห็นด้วยที่ว่าในเวลาเช่นนี้มีสิ่งอื่นที่ต้องเรียนรู้มากกว่าความรัก กระนั้นการแยกจากกันของพวกเขาก็เป็นไปได้ไม่นาน ถ่านไฟเก่าปะทุอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พวก Undead Scourge รุกราน และสงครามครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งสองไปตลอดกาล
หลายปีต่อมาเป็นช่วงที่เผ่าพันธุ์ใหม่บังเกิดขึ้น นั่นก็คือพวก Undead Scourge แอนโทนีดัสแห่งสภาคิรินทอร์ให้ความสนใจในการค้นหาสาเหตุของโรคระบาดทางตอนเหนือของลอร์ดารอน ซึ่งผู้วิเศษเมดีฟนำข่าวสารนี้มาตักเตือนแอนโทนีดัสให้อพยพผู้คนออกจากดาลารันแล้วมุ่งสู่ทวีปคาลิมดอร์ แต่แอนโทนีดัสไม่เชื่อในคำเตือน ขณะที่ไจน่าแอบฟังอยู่นั้น เธอสัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่จากผู้วิเศษเมดีฟ จึงพยายามย้ำเตือนแอนโทนีดัสด้วย ทว่าแอนโทนีดัสก็ยังคงยืนกรานไม่รับฟัง เขากลับส่งไจน่าให้ร่วมเดินทางไปกับอาร์ทัสเพื่อตรวจสอบหมูบ้านบริลทางตอนเหนือ
ไจน่าพบบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติในหมูบ้านบริล นั่นก็คือเหล่าหมอผีและผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนต่างๆของซากศพ และพวกมันกำลังเก็บเกี่ยวธัญพืชที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ลังบรรจุธัญพืชเหล่านั้นเขียนไว้ว่า “เมืองแอนดอร์ฮอล (Andorhal)” ซึ่งมันคือเมืองหลักที่เก็บเกี่ยวธัญพืชส่งเข้าอาณาจักรลอร์ดารอน
ไจน่ากับอาร์ทัสติดตามหมอผีตนหนึ่งไป และพบว่าเขาคือ เคลธูซาด (Kel’Thuzad : ต้นแบบฮีโร่ Lich King) ซึ่งครั้งหนึ่งเคลธูซาดก็คือพ่อมดแห่งสภาคิรินทอร์ เมื่อไจน่ากับอาร์ทัสไปถึงเมืองแอนดอร์ฮอล เขาก็พบว่าเหมือนถูกลวงมา เพราะมีกองกำลังของพวก Undead รอต่อกรกับพวกเขา ทว่าท้ายที่สุดเจ้าชายอาร์ทัสก็เป็นผู้สังหารเคลธูซาด
ภายหลังทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับลอร์ดารอน พวกเขาพักกลางทางที่เมืองเล็กๆชื่อฮาร์ทเกล็น (Hearthglen) และพบว่าธัญพืชจากแอนดอร์ฮอลถูกส่งมาที่นี่นานแล้วและกำลังทำให้ชาวเมืองมากมายกลายเป็นผีดิบ Undead
ไจน่าแยกตัวจากอาร์ทัสเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากวีรบุรุษอูเธอร์ (Uther Lightbringer : ผู้นำแห่งสภาซิลเวอร์แฮนด์ กองกำลังแห่งนักรบศักดิ์สิทธิ์พาลาดิน) เมื่อไจน่าเดินทางกลับมาพร้อมวีรบุรุษอูเธอร์ เธอก็พบว่าเมืองฮาร์ทเกล็นถูกทำลายเสียย่อยยับ และอาร์ทัสที่อยู่ในการต่อสู้ก็กำลังจะพ่ายแพ้ ด้วยความช่วยเหลือของอูเธอร์ ทำให้พวกเขารอดพ้นจากการโจมตีจากพวก Undead แต่นั่นก็ทำให้อาร์ทัสรู้สึกขวัญเสีย คลั่งแค้น และหวาดกลัว เขามุ่งหน้าสู่เมืองสแตร็ทโฮล์ม ที่ซึ่งเขาจะได้สู้กับDread Lord นามว่า มัลกานิส (Mal’Ganis)
ไจน่ากับวีรบุรุษอูเธอร์ติดตามเจ้าชายอาร์ทัสสู่เมืองสแตร็ทโฮล์ม แต่ก็มาช้าเกินไป ชาวเมืองบริโภคธัญพืชจากแอนดอร์ฮอลกันแล้วและกำลังจะกลายเป็นผีดิบ Undead เจ้าชายอาร์ทัสคิดว่าต้องรีบสังหารชาวเมืองก่อนที่จะกลายเป็น Undead แต่นั่นเป็นวิธีการที่ขัดแย้งกับวีรบุรุษอูเธอร์ เพราะการสังหารชาวเมืองผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็ถือเป็นการฆาตกรรมประชาชนของตนเอง ไม่ใช่วิถีทางของนักรบพาลาดินผู้ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า เจ้าอาร์ทัสเกิดโทสะที่วีรบุรุษอูเธอร์คิดต่างกัน จึงใช้อำนาจความเป็นรัชทายาทแห่งลอร์ดารอนขับไล่วีรบุรุษอูเธอร์ออกจากการเป็นผู้นำสภาซิลเวอร์แฮนด์และกล่าวหาว่าเขาเป็นกบฎ ทั้งไจน่าที่เสียใจกับการตัดสินใจของอาร์ทัสกับวีรบุรุษอูเธอร์ที่รู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าชาย พากันเดินทางกลับลอร์ดารอน ทิ้งอาร์ทัสไว้ที่สแตร็ทโฮล์ม
ไจน่ากับวีรบุรุษอูเธอร์ย้อนกลับมาที่สแตร็ทโฮล์มอีกครั้ง หลังการสู้รบของเจ้าชายอาร์ทัส สแตร็ทโฮล์มพังพินาศย่อยยับไม่ต่างอะไรกับซากเมืองโบราณ และที่แห่งนี้เองที่ผู้วิเศษเมดีฟมาปรากฏตัว เขาสัมผัสถึงพลังความเป็นผู้นำในตัวไจน่า จึงเล่าให้ฟังว่าตนได้ตักเตือนกษัตริย์เทอเรนาสและแอนโทนีดัสแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรับฟัง จึงมาวิงวอนให้ไจน่ารีบอพยพประชาชนของเธอเท่าที่เธอทำได้ แล้วข้ามไปทางตะวันตกสู่ทวีปคาลิมดอร์ ไจน่าตระหนักในการตักเตือนของผู้วิเศษเมดีฟ เธอจึงปฏิบัติตาม ซึ่งเพียงอึดใจก่อนที่ลอร์ดารอนจะถูกรุกราน เธอก็สามารถนำพาประชาชนหลายพันหนีออกจากลอร์ดารอนและคูไทราสสู่ทวีปคาลิมดอร์
เมื่อมาถึงคาลิมดอร์ ไจน่าต้องเผชิญกับพวกอ๊อค ซึ่งไจน่าคิดว่ากองกำลังฮอร์ดของอ๊อคติดตามเธอมาจากลอร์ดารอน ไจน่าต่อสู้กับพวกอ๊อคแต่ก็ต้องร่นถอยสู่สถานที่แห่งหนึ่งคือ ยอดเขาสโตนทาลอน ซึ่งไม่เพียงเป็นที่มั่นที่ตั้งรับการต่อสู้ได้ แต่ไจน่ายังสัมผัสถึงพลังบางอย่างในสถานที่แห่งนี้ เธอรีบเร่งค้นหาพลังบางอย่างที่ว่าเพื่อนำมาต่อสู้กับพวกอ๊อค
ขณะนั้นเองไจน่าได้พบกับทรอล (Thrall : ต้นแบบฮีโร่ Far Seer) และ คาร์น (Cairne : ต้นแบบฮีโร่ Tauren Chieftain) พวกเขาต้องสู้รบกันแต่แล้วผู้วิเศษเมดีฟก็ปรากฏกายยับยั้งทันท่วงที เขาวิงวอนให้ทุกฝ่ายปรองดองและเป็นสหายกัน เพราะไม่มีผู้ใดแล้วที่จะรอดชีวิตเพียงผู้เดียวท่ามกลางการรุกรานของกองทัพอสูร
แม้ไม่เต็มใจนัก แต่ไจน่าก็ยินดีที่จะร่วมเป็นพันธมิตร เธอได้มอบของวิเศษที่เรียกว่า Soul Gem ให้ทรอลใช้ควบคุมธาตุจิตของกรอม (Grom Hellsream : ต้นแบบฮีโร่ Axe) ที่กำลังรุกรานคาลิมดอร์ และไจน่าก็ช่วยทรอลในการยับยั้งพลังปีศาจที่กำลังสิงในตัวกรอม
ไจน่ากับทรอลยังคงร่วมเป็นพันธมิตรกัน แม้ว่ากองกำลังของทั้งสองจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ก็ตาม หลังจากที่กรอมตายจากไป พวกเขาก็ต้องเผชิญความหวดกลัวจากพวก Undead แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพวก Night Elve
ท้ายที่สุด จากการที่ทรอลเห็นว่าได้รับความไว้วางใจจากไจน่าทุกครั้ง ทุกเหตุการณ์ จนกระทั่งได้พบพวก Night Elve ได้พบมัลฟูเรี่ยน (Malfurion Stormrage : ต้นแบบฮีโร่ The Prophet) กับ ไทรันดา (Tyrande Whisperwind : ต้นแบบฮีโร่ The Priestess of The Moon) ทรอลวิงวอนต่อไจน่าที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ และวิงวอนต่อเผ่าเอลฟ์ ให้ช่วยเหลือกันที่จะต่อกรกับกองทัพอสูร ให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขจนกว่าจะขจัดพวกปีศาจออกไปจากอเซอร์รอธให้ได้ ซึ่งพวกเขาทุกฝ่ายต่างก็เห็นพ้องและยินดี
ไจน่าใช้มนตร์เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาเพื่อไปสืบข่าวรอบๆอาณาบริเวณ จนได้พบอสูรอาคิมอนเดกับกองทัพอสูรที่กำลังมุ่งหน้ามาที่เทือกเขาไฮจาล
ฐานที่มั่นของไจน่าเป็นด่านแรกที่จะต้องต่อกรกับอาคิมอนเด ทว่าก่อนที่อาคิมอนเดจะสังหารเธอได้ ไจน่าก็หลบหนีพ้นเงื้อมมื้อของอสูรร้าย พวกมันไล่ตามไปจนถึงกองกำลังของทรอล แต่ไจน่าก็ใช้พลังที่เหลือเคลื่อนย้ายทุกๆคนหลบหนีไปก่อนจะที่จะถูกสังหาร เธอเชื่อว่าแม้วันนี้พ่าย แต่หากรอดชีวิต วันพรุ่งนี้ก็จะกลับมาต่อสู้กับพวกอสูรได้
ภายหลังการต่อสู้อันยาวนานเพื่อสยบอสูรอาคิมอนเด ณ เทือกเขาไฮจาล (มัลฟูเรี่ยนเป่าเขาแห่งเซนาเรียสอัญเชิญ Wisp ออกมาสังหารอาคิมอนเด) ไจน่านำพาประชาชนของเธอที่ยังรอดชีวิตเดินทางสู่ชายฝั่งตะวันออกของทวีปคาลิมดอร์ สู่บ้านใหม่ที่เธอตั้งชื่อให้ว่า เกาะเทอร์รามอร์ (Theramore Isle : ข้อมูลการค้นพบเกาะเทอรามอร์ไม่แน่ชัด แต่ป้อมปราการบนเกาะเทอร์รามอร์ระบุอยู่ในเรื่องราวของการก่อตั้งชนชาติอ๊อค ณ เมือง ดูโรทาร์ (Durotar))
เมื่อเร็กซ์ซาร์ (Rexxar : ต้นแบบฮีโร่ Beast Master) หนึ่งในชนเผ่าม็อคนาธาล (Mok’Nathal : ครึ่งยักษ์ครึ่งอ๊อค)อธิบายว่าพวกมนุษย์เป็นผู้รุกรานเมืองดูโรทาร์ของชนชาติอ๊อคและพยายามลอบสังหาร ไจน่าได้ยินดังนั้นก็ปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ ทว่าเธอก็ช่วยเร็กซ์ซาร์ตามหาเรื่องราวที่แท้จริง และพบว่าข้อมูลที่สาบสูญไปกับสงคราม คือความจริงที่ว่าพวกเผ่างูน้ำ (Naga : พวกเอลฟ์ Highborne ที่กลายพันธุ์) คือผู้รุกรานเผ่าอ๊อค และหลังจากที่พบเห็นการตายในท้องทะเล ไจน่าก็เริ่มวิตกกังวลว่าลอร์ดพราวด์มัวร์ บิดาของเธอจะเดินทางมาตรวจสอบ
และก็จริงดังนั้น ลอร์ดพราวด์มัวร์ถือว่าพวกอ๊อคเป็นศัตรูตลอดกาล แม้ไจน่าจะวิงวอนต่อบิดาของเธอให้ปล่อยพวกเร็กซ์ซาร์ แต่ลอร์ดพราวมัวร์ไม่รับฟังเหตุผลใดใด ไจน่าจึงต้องช่วยเร็กซ์ซาร์หลบหนี พร้อมกับที่ทรอลนำกองกำลังของตนมาทัดทานต้านกองกำลังของลอร์ดพราวด์มัวร์
ไจน่าตกอยู่ในความสิ้นหวัง ขณะที่เธอมีความรักภักดีต่อบิดาของเธอ ต่อชาติเชื้อเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกUndead กับกองทัพอสูร ทำให้เธอเข้าใจถึงความพยาบาท ความเกลียดชัง อันเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของลอร์ดพราวด์มัวร์ ที่ยากยิ่งจะเปลี่ยนแปลง ไจน่าตัดสินใจช่วยพวกฮอร์ดอพยพโดยเรือลำใหญ่จากเผ่าก๊อบบลิน (Goblin) และออกคำสั่งให้กองกำลังของเธอปกป้องเกาะเทอร์รามอร์จากการรุกรานโดยลอร์ดพราวด์มัวร์
ซึ่งท้ายที่สุด ลอร์ดพราวด์มัวร์ก็ต้องจบชีวิตลง สร้างความเศร้าเสียใจแก่ไจน่า เธอเอ่ยถามข้างร่างที่ไร้วิญญาณว่า -เหตุใดท่านจึงไม่รับฟังสิ่งใดเลย?- (Why didn’t you listen?…)
เทอร์รามอร์กับดูโรทาร์เป็นพันธมิตรกันประมาณสามปี แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์กับอ๊อคก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่เคยขัดแย้งกันมาอย่างยาวนานและจนถึงวันนี้ ทั้งสองประเทศต่างระมัดระวังการรุกรานของกันและกัน กระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นจนทั้งสองต้องหันมาร่วมมือกันอีกครั้ง เรื่องที่ว่านี้ถูกเล่าโดยเหล่าก๊อบบลิน
อย่างที่รู้กันคือพวกฮอร์ดใหม่ หรือ New Horde ซึ่งก่อตั้งโดยทรอล เป็นมิตรมากขึ้นกับหลายๆเผ่าพันธุ์ในโลกอเซอร์รอธ แต่ก็มีพวกพ่อมดอ๊อคส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าร่วมกับพวกฮอร์ด ได้ตั้งกองกำลังใหม่ขึ้นมาเรียกว่า Burning Blade Clan นำโดย สม็อดลอร์ (Zmodlor) เรื่องมันเริ่มต้นจากการที่ทรอลขอความช่วยเหลือจากไจน่าให้ช่วยเคลื่อนย้ายพวกสัตว์ประหลาดคล้ายกิ้งก่า ที่ปรากฏตัวมากมายจนน่าสงสัย ไจน่าให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายพวกมันไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปทางเมืองมูลกอร์ (Mulgore) ทว่า ณ ที่แห่งนั้นเธอได้พบกับผู้พิทักษ์ในตำนาน แอ็กวีน
ผู้พิทักษ์แอ็กวีนไม่สนใจคำชื่นชมปลาบปลื้มของไจน่า แต่หล่อนสัมผัสถึงช่องว่างระหว่างไจน่ากับทรอล ซึ่งกำลังมีปีศาจร้ายก่อตัวขึ้นมานั่นก็คือเจ้าสม็อดลอร์ที่กำลังยั่วยุให้ไจน่ากับทรอลแตกคอกัน ไจน่ากับแอ็กวีนกลับมาที่เทอร์รามอร์ด้วยกัน และพบว่าเหล่ามหาดเล็กของไจน่าทรยศหักหลังและเข้าร่วมกับกองกำลัง Burning Blade
หลังจากที่เธอพยายามตกลงกับผู้ทรยศ พวกสม็อดลอร์ก็กลับกลายคืนร่างเป็นพวกหมอผีแห่งเผ่าอ๊อค (Warlocks) ไจน่ากำลังจะสิ้นท่าและถูกสังหาร แต่แอ็กวีนใช้พลังชีวิตของตนเสริมพลังให้ไจน่า เธอจึงสามารถเอาชนะพวก Warlocks และส่งพวกมันไปสู่มิติ Twisting Nether อันไกลโพ้น (มิติที่ก่อเกิดความชั่วร้ายต่างๆนานา) เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความสุขสงบ ไจน่ากับทรอลก็เห็นพ้องกันว่าควรลงนามทำสัญญาที่จะไม่ก่อสงครามต่อกัน เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนของทั้งสองฝ่าย และถือเป็นการทำสัญญาชั่วกาลที่มนุษย์กับอ๊อคจะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป

ความสัมพันธ์และความรัก

Prince Kael’Thas : เจ้าชายคาเอลธัส

เชื่อกันว่าเจ้าชายคาเอลธัส แห่งเผ่า Blood Elve ตกหลุมรักเธอ ในระหว่างที่เธอกำลังฝึกเวทมนตร์กับแอนโทนีดัสที่เมืองดาลารัน แต่ด้วยอายุที่ต่างกันมาก (ไจน่าเป็นมนุษย์สาว ขณะที่เขาเป็นเอลฟ์ที่อยู่มาหลายร้อยปี) ทำให้เจ้าชายคาเอลธัสพยายามตัดใจ

Prince Arthas Menethill : เจ้าชายอาร์ทัส เมเนทิล

เจ้าชายอาร์ทัสกับไจน่าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นเหมือนเพื่อนสนิท จนกลายเป็นหนุ่มสาวที่มีความรักใคร่ให้กัน แต่ด้วยฐานันดรศักดิ์ของทั้งสอง (เจ้าชายอาร์ทัสคือรัชทายาทแห่งอาณาจักรลอร์ดารอน ขณะที่ไจน่ามีศักดิ์เป็นท่านหญิง ธิดาของลอร์ดพราวด์มัวร์ กษัตริย์แห่งประเทศคูลไทราส) ทั้งสองจึงให้ความสำคัญกับภาระหน้าที่เพื่อบ้านเมือง แต่เมื่อพยายามจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์ ก็เป็นช่วงที่ Undead Scourge รุกรานโลกอเซอร์รอธ  เรื่องราวของทั้งสองยังปรากฏในนวนิยายเรื่อง อาร์ทัส ตอน Lich King เรืองอำนาจ (Arthas : Rising of The Lich King) เขียนโดย Christie Golden ซึ่งในฉากที่ไจน่าเดินทางมาสู่บัลลังก์ Frozen Throne เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไจน่ายังคงมีให้เจ้าชายอาร์ทัสไม่เปลี่ยนแปลง

Thrall : ทรอล

เดิมทีพวกมนุษย์กับอ๊อคทำสงครามและขัดแย้งกันมาอย่างช้านาน แต่ผู้วิเศษเมดีฟรู้เห็นการรุกรานของเหล่า Undead Scourge จึงเดินทางไปเตือนภัยเผ่าต่างๆ กระทั่งผู้วิเศษเมดีฟเดินทางมาขัดขวางการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างไจน่ากับทรอล และขอให้ทั้งสองร่วมมือกัน เมื่อปราบอสูรอาคิมอนเดได้สำเร็จ ทั้งสองแยกย้ายกันไปก่อตั้งประเทศ ทว่า ก็ยังคงระมัดระวังการรุกรานของกันและกัน ครั้นผ่านเหตุการณ์การรุกรานของสม็อดลอร์ ไจน่ากับทรอลจึงเห็นพ้องต้องกันในการทำสัญญาสงบศึกและร่วมเป็นมิตรต่อกันไปตลอดกาล เพื่อไม่ให้ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเดือดร้อนเพราะสงคราม พวกเขาทั้งสองจึงเป็นเหตุผลทำให้ฮอร์ดกับอลิอันซ์ยุติสงครามกันได้

Priestess of the Moon

นักบวชหญิง ผู้พิทักษ์แห่งเทพี Elune เทพีแห่งดวงจันทร์  เธอเปรียบดั่งแสงสว่างในความมืดของเหล่า Sentinel คมเขี้ยวธนูที่หลั่งมาเป็นห่าฝนกับอุกาบาตแสงดาวทำลายล้างเหล่า Undead Scourge ว่ากันว่าการมีอยู่ของเธอ ได้สร้างพลังแสงสว่างแก่เหล่าพันธมิตร ทำให้มีความคล่องแคล่วว่องไวในสนามรบ และในสถานการณ์คับขัน เธอสามารถซ่อนตัวเธอและเหล่าฮีโร่ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ให้หายไปจากสายตาของศัตรูได้ ด้วยพลังแห่งเงาจันทร์
Priestess of the moon คือนักบวชหญิงเผ่า Night Elf ผู้ซึ่งได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพี Elune แห่งดวงจันทร์ Priestess of the moon จะสวมเกราะสีเงิน และถือธนูเวทมนตร์ เธอมีความสง่าผ่าเผยบนหลังของเสือขาวผู้องอาจ เหล่า Priestess of the moon มีหน้าที่ปกป้องอาณาจักรของเผ่า Night Elf และเธอจะทำลายทุกอย่างที่มีพลังปีศาจสิงสถิตย์
ในสนามรบ Priestess of the moon สามารถร่ายมนตร์ซ่อนตัวด้วยพลังของเงาจันทร์เพื่อหลบเร้นจากเหล่าศัตรู เธอยังเป็นผู้นำของนักรบพลธนูอีกด้วย พลังจากเทพี Elune ทำให้เหล่า Priestess of the moon ไม่อาจถูกพบตัวได้ง่ายๆ ราวกับเป็นนักลอบสังหารมือฉกาจ ด้วยธนูที่อาบเวทมนตร์แห่งแสงจันทร์
Priestess of the moon เป็นดั่งพยุหะผู้พิทักษ์เทพี Elune การได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากองค์เทพี ทำให้เธอมีจิตอันหาญกล้าในการรบ มีพลังเวทมนตร์สูงส่ง เธอจะรู้สึกถึงการได้รับการปกป้องจากองค์เทพี แม้ในช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด ก่อนจะสิ้นลมหายใจสุดท้าย เธอก็จะอธิษฐานต่อองค์เทพี Elune เท่านั้น

Priestess of The Moon ใน Warcraft

เรื่องราวของ Priestess of The Moon ใน Warcraft

ไทรันดา วิสเปอร์วินด์ (Tyrande Whisperwind) เป็นต้นแบบฮีโร่ Priestess of The Moon เธอคือผู้นำสูงสุดของเหล่านักบวชหญิงที่สักการะเทพี Elune เทพีแห่งดวงจันทร์ เธอยังเป็นนายพลหญิงของกองทัพ Night Elf Sentinel คู่ชีวิตของเธอคือพ่อมดดรูอิดนามว่า มัลฟูเรี่ยน สตอร์มเรจ (Malfurion Stormrage : ต้นแบบฮีโร่ The Prophet) ซึ่งเธอจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องและช่วยเหลือเขาเสมอ
ไทรันดาเป็นตัวแทนผู้นำสูงสุดของเหล่า Night Elf ตั้งแต่หมื่นปีก่อน ในเหตุการณ์ที่ราชินีแอสชาร่า (Queen Azhara) ผู้ปกครองสูงสุดของ Highborne ทำผิดพลาดจนเปิดทางให้เหล่าปีศาจจากต่างมิติหลุดเข้ามาในโลกอเซอร์รอธ
ไทรันดาเป็นสตรีที่ฉลาด หลักแหลม และเด็ดขาด เธอจะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เธอรัก ด้วยสัตยาสาบานอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะการปกป้องพวกคัลโดไร (Kaldorei : Night Elf ดั้งเดิม ส่วน Night Elf ที่แตกพวกออกไปเป็น Highborne จะเรียกอีกอย่างว่าเควลโดไร Quel’dorei) เธอเปรียบเสมือภาคอวตารของเทพีอีลูน จิตวิญญาณเต็มไปด้วยความสงบและสุภาพ พลังความแข็งแกร่งของเธอเกิดจากความปรารถนาที่จะปกป้องบ้านเมืองและประชาชนของเธอ รวมทั้งพลังที่ได้รับการสนับสนุนจากมัลฟูเรี่ยนด้วย ในสงคราม ไทรันดาจะออกรบพร้อมเจ้าเสือขาว (Frostsaber Tiger) ซึ่งมีนามว่า อัชชาลาห์ (Ash’alah) เธอชอบต่อสู้ในป่าด้วยสัญชาตญาณของการเป็น Night Elf
เรื่องราวของไทรันดา วิสเปอร์วินด์ เริ่มต้นจากการเติบโตในเมืองซูรามาร์ (Suramar : เมืองของ Night Elf) พร้อมกับฝาแฝดชายคู่หนึ่งคือ มัลฟูเรี่ยน สตอร์มเรจ กับ อิลลิดัน สตอร์มเรจ (Illidan Stormrage : ต้นแบบฮีโร่ Terror Blade) พวกเขาทั้งสามเป็นเพื่อนรักกัน วิ่งเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก ฝึกฝนการรบด้วยกันเสมอมา จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาก็เริ่มค้นหาเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ไทรันดาเดินตามรอยความสงบสุขแห่งวิหารอีลูนในเมืองซูรามาร์ และอุทิศตนเป็นนักบวชหญิง ขณะที่มัลฟูเรี่ยนอุทิศตนฝึกฝนตนเองภายใต้คำสอนของเซนาเรียส (Cenarius : ต้นแบบฮีโร่ Tormented Soul) ผู้เป็นอมนุษย์กึ่งเทพ ส่วนอิลิดันกลับไม่สามารถค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ เขาจึงหันเหชีวิตไปค้นหาพลังที่เรียกว่า “เวทมนตร์” ซึ่งตัวอิลลิดันเองนั้นก็มีใจให้ไทรันดา แต่ทั้งไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนที่รักใคร่กันอยู่แล้ว ไม่ได้สังเกตถึงความรู้สึกของอิลลิดัน
เมื่อสงครามแห่งบรรพกาลเริ่มต้นขึ้น (War of The Ancients : สงครามที่เกิดจากการศึกษาพลังเวทมนตร์ของพวก Highborne ทำให้เหล่าปีศาจจากมิติ Twisting Nether หลุดเข้ามาในโลกอเซอร์รอธ)ไทรันดาพยายามกลี้ยกล่อมให้อิลลิดันถอนตัวจากพวก Highborne แล้วนำพาเขาไปพบเซนาเรียส ซึ่งทำให้พวกเขาได้พันธมิตรใหม่ร่วมต่อสู้ นั่นก็คือมังกรของอเล็กซ์ทราซ่า (Alexstrasza : ราชินีมังกร 1 ในผู้ที่เทพเจ้าไททันมอบพลังให้ปกป้องโลกอเซอร์รอธ) ขณะที่กองทัพอสูร (Burning Legion : กองทัพอสูรของจอมมารซาร์เจอร์ราส)ได้เข้าพวกกับราชินีอัสชาร่า
ในขณะที่ไทรันดาสัมผัสได้ถึงพลังของราชินีอัสชาร่าที่กำลังเปิดประตูมิติ เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่กำลังจะเล็ดรอดเข้ามาสู่โลกอันสงบสุขแห่งอเซอร์รอธ มัลฟูเรี่ยนจึงคิดว่าควรจะทำลายบ่อนิรันดร์ (Well of Eternity) ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่ให้พลังกับความเป็นอมตะแก่เผ่าเอลฟ์ และให้พลังแก่เซนาเรียสผู้เป็นกึ่งเทพ รวมทั้งให้พลังแก่อเล็กซ์ทราซ่า อย่างไรก็ตาม ทว่า แม้จะได้รับพลังอมตะและพลังวิเศษมากมายจากบ่อนิรันดร์ แต่ไทรันดาก็เลือกที่จะปกปักรักษาโลกอเซอร์รอธให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าอสูร เธอเลือกที่จะทำลายมันทิ้ง
ทว่า อิลลิดันไม่รู้แผนการดังกล่าว จึงเป็นฝ่ายเตือนราชินีอัสชาร่าเสียก่อน เมื่อไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนมาถึงจึงเกิดการต่อสู้กัน มัลฟูเรี่ยนต่อสู้อยู่ที่บริเวณทางเข้า ไทรันดาต้องซุ่มโจมตีทางด้านหลัง และแม้ว่าจะฝ่าด่านองครักษ์ของราชินีอัสชาร่าได้ แต่ฝ่าย Sentinel ก็ล้มพ่ายไปไม่ใช่น้อย ไทรันดาเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
มัลฟูเรี่ยนแลเห็นไทรันดากำลังบาดเจ็บก็เกิดโทสะมุ่งเข้าโจมตีราชินีอัสชาร่าในทันที พวกเขาสาดใส่มนตรากันอย่างบ้าระห่ำ พลังงานนั้นส่งผลต่อบ่อนิรันดร์ เกิดประจุปะทุและระเบิดเป็นเสี่ยงในที่สุด ทวีปเคลื่อนจากกัน เกิดฟ้าฝนพายุ และสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ดังที่เห็นในแผนที่ปัจจุบัน จุดกึ่งกลางของโลกอเซอร์รอธที่เต็มไปด้วยมรสุมและพายุคลั่ง ถูกเรียกว่าแมลสตอร์ม (Maelstorm) ซึ่งเดิมทีมันก็คือพระราชวังของราชินีอัสชาร่าและเป็นจุดดั้งเดิมของบ่อนิรันดร์
เหตุการณ์นี้เองเรียกว่า The Sundering ไทรันดารอดชีวิต เธอนำพาประชาชนของเธอไปหาเซนาเรียสที่ภูเขาไฮจาล (Mount Hyjal) เซนาเรียสกับมัลฟูเรี่ยนก็รอดชีวิตเช่นกัน แต่พวกเขาก็ต้องหวาดผวาอีกครั้ง เมื่ออิลลิดันที่รอดชีวิต กลับพกขวดแก้วที่ใส่น้ำจากบ่อนิรันดร์มากมายหลายขวด เขานำมันเทลงไปในทะเลสาบบนเทือกเขาไฮจาล หวังจะให้บ่อนิรันดร์ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะอิลลิดันเป็นพวกที่เสพติดเวทมนตร์เหมือนพวกไฮบอร์นเอลฟ์ มัลฟูเรี่ยนเกรงว่าการเสพพลังเวทมนตร์จากบ่อนิรันดร์จะเป็นเหตุให้โลกอเซอร์รอธต้องเผชิญวิกฤติอีกครั้ง เขาจึงจับตัวอิลลิดันกักขังไว้ใต้ภูเขาไฮจาล ส่วนไทรันดาและเหล่า Night Elf ที่ได้รู้ถึงความน่าสะพรึงของเหตุการณ์ The Sundering ก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะทำลายบ่อนิรันดร์
หลังจากที่มีการก่อกำเนิดของ World Tree หรือ The Great Tree of Life ไทรันดาก็เริ่มก่อร่างสร้างสังคมของ Night Elf ขึ้นอีกครั้ง มัลฟูเรี่ยนรู้ดีว่าตนต้องเข้าบำเพ็ญตนในดินแดนมรกต (Emerald Dream) แม้ไม่อยากทิ้งไทรันดาไว้เพียงผู้เดียว แต่มัลฟูเรี่ยนก็เลือกที่จะจำศีลในถ้ำบาร์โรว์ (Barrow Den) พร้อมกับพวกดรูอิด
ไทรันดากับชาวเอลฟ์ที่เหลือสร้างบ้านเมืองใหม่ในป่าแอสเฮ็นเวล (Ashenvale) ด้วยความช่วยเหลือหลายๆอย่างจากลูกๆของเซนาเรียส (ลูกๆของเซนาเรียสเป็นพวกนางไม้และเทพารักษ์) และด้วยความช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์ต่างๆที่มีความศรัทธาในเทพีอีลูนแห่งดวงจันทร์ ทว่าการที่ชีวิตปราศจากมัลฟูเรี่ยน ไทรันดารู้สึกอ้างว้าง เนิ่นนานแสนนาน ผ่านไปหลายศตวรรษ หมอกมืดเริ่มบดบังความสงบสุข ป่าแอสเฮ็นเวลไม่ปลอดภัยอีกแล้ว
กองกำลัง Shadowleaf Sentinels นำโดยแชนดริส ฟีเธอร์มูน เดินทางกลับสู่ภูเขาไฮจาล พร้อมนำข่าวร้ายมาแจ้งแก่ไทรันดา นั่นก็คือเซนาเรียสถูกฆาตกรรมโดยผู้รุกรานที่มีกายสีเขียว แชนดริสคิดว่าอาจจะเป็นพวกอ๊อค ขณะที่ไทรันดาสัมผัสถึงพลังปีศาจลึกลับที่กำลังจะเข้ามารุกรานโลกอเซอร์รอธ
ในเวลาเดียวกัน ไทรันดาพบเจอเผ่าเฟอร์โบล์ก (Furbolg : เผ่าพันธุ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งหมี ต้นแบบฮีโร่ Ursa Warrior) ที่กำลังอพยพออกจากป่าแอสเฮ็นเวล เพราะพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังของปีศาจ ไทรันดาช่วยเหลือพวกเขาให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ หลังจากนั้นไทรันดาก็ถูกคุกคามจากพวก Undead
อสูรนามว่าอาคิมอนเด (Archimonde) สมุนตัวเบ้งของจอมมารซาร์เจอร์ราส ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเครือญาติของไทรันดามากมาย และถ้าไทรันดาไม่ได้พึ่งพาพลังแห่งเทพีอีลูนในการหลบซ่อนตัว เธอก็คงจะถูกฆ่าไปด้วย อาคิมอนเดสั่งทาสอสูรให้พยายามออกติดตามและสังหารไทรันดาให้ได้ ซึ่งไทรันดาก็ได้ใช้พลังจากเทพีอีลูนทำให้ผืนป่าและผู้คนของเธอล่องหนหายไป เธอพยายามรวบรวมผู้ที่ยังรอดชีวิต แล้วพากันหลบหนีไปในที่สุด
ไทรันดาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลุกเหล่าดรูอิดขึ้นจากการบำเพ็ญตนในดินแดนมรกต เธอปล่อยให้การปกปักรักษาผืนป่าแอสเฮ็นเวลเป็นหน้าที่ของแชนดริส ส่วนตัวเธอมุ่งหน้าสู่ถ้ำบาร์โรว์ ซึ่งเหล่านางไม้บอกแก่เธอว่า ทิชอนดริอุส (Tichondrius : ผู้นำเหล่า Dread Lord) กับกองกำลังของพวก Scourge อยู่ที่ถ้ำบาร์โรว์แล้ว และเขาแห่งเซนาเรียสก็ถูกสกัดพลังโดยพวกอ๊อค ไทรันดามุ่งผ่านแคมป์ของพวกอ๊อค ต่อสู้กับพวกมันจนได้เป่าเขาแห่งเซนาเรียสเพื่อปลุกมัลฟูเรี่ยน
มัลฟูเรี่ยนเชื่อว่าอาคิมอนเดรุกรานเพื่อต้องการเข้าถึงต้นนอร์ดราสซิล (Nordrassil : World Tree อีกต้นที่เป็นขุมพลังชีวิต) อาคิมอนเดต้องการขโมยพลังจากต้นนอร์ดราสซิลแล้วทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพเจ้า  พวกเขาเดินทางสู่ป่าวินเทอร์สปริง (Winterspring Forest) ที่นั่น ไทรันดาได้พบกับเผ่าพันธุ์เฟอร์โบล์กอีกครั้ง ซึ่งพวกเฟอร์โบล์กไม่ได้อพยพหนีไปไกลเลย ไทรันดารู้สึกเป็นกังวลที่ไม่สามารถช่วยเหล่าเฟอร์โบล์กได้ มัลฟูเรี่ยนเห็นความกังวลนั้นจึงกล่าวว่าไทรันดาเปลี่ยนแปลงไปมาก เธอดูจริงจังและมีกังวลตลอดเวลา ราวกับแบกรับสิ่งต่างๆไว้มากมาย ซึ่งไทรันดาตอบกลับว่า -ข้าไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่จะหลับใหลได้เมื่อภัยมา- (I did not have the luxury of sleeping through times of peril) แม้จะฟังดูเหมือนคำประชดประชันแต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นถ้อยคำแสดงถึงความรักที่เธอมีต่อมัลฟูเรี่ยน เพราะเธออยากให้มัลฟูเรี่ยนอยู่เคียงข้างเธอในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย มากกว่าที่จะให้เขาจำศีลอยู่ในดินแดนมรกต
เมื่อเหล่าดรูอิดทั้งหมดตื่นจากการหลับใหล พวกเขาก็มาช่วยกันปกป้องเทือกเขาไฮจาล ซึ่งมัลฟูเรี่ยนจำได้ว่า ณ ใต้หุบเขานี้คือที่กักขังน้องชายของเขา อิลลิดัน
ไทรันดาคิดว่าอาจถึงเวลาแล้วเช่นกันที่จะต้องปลดปล่อยอิลลิดันให้เป็นอิสระ เพราะอิลลิดันเองก็เป็นนักรบที่ทรงพลัง แต่มัลฟูเรี่ยนห้ามเอาไว้ อย่างไรก็ตาม  ไทรันดาเกรงว่ามัลฟูเรี่ยนจะห้ามปรามเสียทุกอย่าง เธอไม่อยากทำให้เขาต้องโกรธ จึงรวบรวมกองกำลัง Sentinels แล้วบุกเข้าไปในที่คุมขังของอิลลิดัน
ไทรันดาพบเจอเขา และต่อรองขอให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อปกป้องเผ่า Night Elf อิลลิดันยังคงมีความรักต่อไทรันดา ทำให้เขาอยากจะร่วมเคียงข้างไทรันดา แต่เขาได้สูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็น Night Elf ไปแล้ว เมื่อมัลฟูเรี่ยนมาพบพวกเขา มัลฟูเรี่ยนโกรธมากและต่อว่าไทรันดาในการกระทำที่สิ้นคิด
หลังจากที่อิลลิดันได้รับการปลดปล่อย เขาก็มุ่งสู่ป่าเฟลวู้ด (Felwood) เพื่อต่อสู้กับเหล่าปีศาจ ไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนก็ได้รับสารว่าอิลลิดันพลาดท่าให้แก่ทิชอนดริอุส พวกเขาจึงเร่งรีบไปช่วยเหลือ แต่เมื่อไปถึง พวกเขากลับพบว่า พวกทิชอนดริอุสกับกองกำลัง Scourge เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เสียเอง ส่วนอิลลิดันที่เป็นฝ่ายชนะ กลับกลายร่างเป็นกึ่งเอลฟ์กึ่งปีศาจ ไทรันดันรู้สึกตื่นกลัวอย่างมาก
มัลฟูเรี่ยนพาไทรันดากลับมาที่ป่าแอสเฮ็นเวล พวกเขาช่วยกันนำทางผู้นำของเผ่าต่างๆอพยพออกจากป่า ซึ่งพวกเขารู้สึกสิ้นหวังกับการต่อกรกับพวกปีศาจจริงๆ เพราะแม้แต่อิลลิดันที่ไทรันดาหวังจะให้เป็นกำลังสำคัญต่อสู้กับพวกปีศาจ บัดนี้ก็ยังกลายร่างเป็นกึ่งปีศาจไปแล้ว ขณะนั้นเอง ผู้วิเศษตนหนึ่งปรากฏกายขึ้น เขาก็คือผู้วิเศษเมดีฟ (Medivh) ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์แห่งไทริสฟอลคนสุดท้าย (The Guardian of Tirisfal : ผู้วิเศษที่ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และคอยต่อกรกับกองทัพอสูรที่หลุดลอดเข้ามาในโลกอเซอร์รอธ) เมดีฟบอกแก่พวกเขาว่าต้องการให้ทุกเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันเพื่อเอาชนะพวก Undead และกองทัพอสูร แต่ไทรันดายังคงรู้สึกเสียใจกับการขาดผู้นำอย่างผู้วิเศษเซนาเรียส ทว่า ท้ายที่สุดเธอก็ไม่มีทางเลือก ไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนจึงวางแผนปกป้องภูเขาไฮจาล
ไทรันดา มัลฟูเรี่ยน และแชนดริส ช่วยกันปกป้องฐานที่มั่นของไจน่า พราวด์มัวร์ (Jaina Proudmoore : ต้นแบบฮีโร่ Crystal Maiden) ก่อนจะร่นถอยไปยังกองกำลังของทรอล (Thrall : ต้นแบบฮีโร่ Far Seer) ทว่า จอมอสูรอาคิมอนเดก็มุ่งทำลายฐานที่มั่นของพวก Night Elf จนหมดสิ้น
แต่อาคิมอนเดก็ประมาทในชัยชนะมากเกินไป การเป็นปฏิปักษ์กับ World Tree ถือเป็นการลบหลู่ผู้พิทักษ์แห่งบรรพกาล (Ancestral Guardians : เรียกอีกอย่างว่า Wisp หรือ  Fey เป็นพลังวิญญาณแห่งธรรมชาติที่ช่วยเหลือเผ่า Night Elf มาตั้งแต่โบราณ สำหรับในสงคราม Dota ยังเป็นต้นแบบฮีโร่ Guardian Wisp อีกด้วย) มัลฟูเรี่ยนเป่าเขาแห่งเซนาเรียสเพื่อวิงวอนและอัญเชิญผู้พิทักษ์แห่งบรรพกาล อาคิมอนเดจึงถึงจุดจบในที่สุด
ภายหลังมหาสงครามนี้ เหล่าพันธมิตรกระจัดกระจายไปตามวิถีทางของตนเอง ไจน่า พราวด์มัวร์กับประชาชนของเธอมุ่งสู่เกาะเทอรามอร์ (Theramore Island) คาร์น บลัดฮูฟ (Cairne Bloodhoof : ต้นแบบฮีโร่ Tauren Chieftain) แห่งเผ่าทอเรนเดินทางสู่มูลกอร์ (Mulgore : ใจกลางทวีปคาลิมดอร์) ทรอลสร้างเมืองที่ดูโรทาร์ (Durotar) และไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนนำพาชาว Night Elf กลับสู่ป่าแอสเฮ็นเวล
หลายเดือนผ่านไป ผู้ส่งสารของเมอีฟ ชาโดว์ซอง (Maiev Shadowsong : ต้นแบบฮีโร่ Phantom Assassin) รายงานว่านักรบวอร์เด็น (Warden) ถูกโจมตีโดยอิลลิดัน มัลฟูเรี่ยนกับไทรันดาจึงมุ่งมั่นติดตามหาอิลลิดัน
ไทรันดากับมัลฟูเรี่ยนล่องเรือไปพบเมอีฟที่กำลังต่อสู้กับพวกนากา (Naga : ไฮโบร์น Highborne ที่กลายพันธุ์อันเป็นผลจากการที่บ่อนิรันดร์ระเบิด) เมอีฟรู้สึกดีกับการที่มัลฟูเรี่ยนเข้ามาช่วยเหลือ แต่หล่อนไม่พอใจในตัวไทรันดา (เพราะไทรันดาเป็นคนที่ช่วยให้อิลลิดันหลบหนีออกมา เพราะตอนนั้นไทรันดาแค่คิดว่าจะยืมพลังของอิลลิดันมาต่อสู้กับกองทัพอสูร) เมอีฟประชดประชันไทรันดาที่เป็นต้นเหตุให้เหล่าผู้คุมและพัศดีถูกสังหาร ซึ่งเมอีฟมุ่งหมายจะให้ไทรันดาถูกจับกุมตัวด้วย แต่ไทรันดาก็ค้านว่าเมอีฟไม่มีอำนาจตัดสินโทษของเธอ มัลฟูเรี่ยนเห็นว่าไม่ใช่เวลาจะมาถกเถียงกัน จึงโน้มน้าวให้ทั้งสองจับกุมอิลลิดันให้ได้เสียก่อน
อิลลิดันเชื่อมั่นในพลังของตัวเองอย่างมาก เขาพยายามแสดงพลังของตนให้เป็นที่ชื่นชมแก่ไทรันดา แต่เธอกลับเปิดเผยความจริงบางอย่างที่สร้างความเจ็บปวดให้อิลลิดัน -คมเขี้ยวของพลังเวทมนตร์ไม่อาจแทนที่ความแกร่งกล้าที่ออกมาจากภายใน- นั่นคือเหตุผลที่ไทรันดาเลือกที่จะให้ความสำคัญกับมัลฟูเรี่ยนมากกว่าอิลลิดัน และเธอก็สารภาพอีกว่าเธอรู้สึกผิดจริงๆที่ช่วยเหลือให้อิลลิดันหลุดจากที่คุมขัง
แต่แล้วระหว่างที่ไล่ล่ากัน ในนาทีแห่งความสับสนและด้วยความที่อิลลิดันเป็นเหมือนเพื่อนอีกคนที่เติบโตมาด้วยกัน ไทรันดาจึงบอกให้อิลลิดันหลบหนีไป เธอแสร้งทำเป็นไล่ล่าอิลลิดันจนติดกับดัก อิลลิดันเข้าใจความปรารถนาดีของเธอจึงช่วยให้เธอปลอดภัย ก่อนจะหลบหนีหายไปในที่สุด
ตอนนี้เป็นช่วงที่เหล่า Undead Scourge แผ่ขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ มัลฟูเรี่ยนคิดว่าตนจำเป็นต้องยืมพลังจากวิญญาณแห่งผืนป่าและธรรมชาติ เขาจึงให้ไทรันดากับเมอีฟเดินทางล่วงหน้าไปด้วยกันเพื่อติดตามหาอิลลิดัน ส่วนตัวเองแยกตัวจากไป
ไทรันดากับเมอีฟเดินทางจนไปพบเจ้าชายคาเอลธัส (Kael’Thas : ต้นแบบฮีโร่ Invoker) ซึ่งถูกโจมตีจากพวก Undead Scourge ไทรันดายืนยันที่จะช่วยเหลือ เธอไม่ต้องการทอดทิ้งให้ชาวเอลฟ์ต้องพินาศเพราะพวก Undead ส่วนเมอีฟร้อนรนที่จะตามจับกุมอิลลิดันเพียงอย่างเดียว ทว่าหล่อนก็ต้องยอมร่วมมือช่วยเหลือเจ้าชายคาเอลธัส
ในขณะที่ไทรันดากำลังช่วยลำเลียงประชาชนของเจ้าชายคาเอลธัสให้ข้ามแม่น้ำหนีไป เธอมั่นใจในพลังของเทพีอีลูน จึงอัญเชิญแสงดาวมากมายให้ร่วงลงมาทำลายล้างพวก Undead ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว แต่สะพานที่เธอยืนอยู่นั้นเกิดพังทลายลงเสียก่อน ร่างของไทรันดาร่วงลงสู่แม่น้ำ เจ้าชายคาเอลธัสพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ทว่า…
เมอีฟลวงเจ้าชายคาเอลธัสให้ไปช่วยตนติดตามจับกุมอิลลิดันดีกว่า หล่อนใช้ถ้อยคำราวกับว่าไทรันดาได้สละชีวิตไปแล้วอย่าให้ชีวิตนั้นต้องสูญเปล่า (ในตอนท้าย เจ้าชายคาเอลธัสรู้สึกผิด จึงเป็นคนที่เปิดเผยความจริงทั้งหมดให้มัลฟูเรี่ยนกับอิลลิดันรับรู้ว่าเมอีฟปฏิเสธที่จะช่วยชีวิตไทรันดา)
ทางด้านไทรันดา เธอถูกพาไปที่เกาะแห่งหนึ่งโดยพวก Undead ซึ่งพวกมันพยายามต่อสู้อยู่กับกองกำลัง Sentinels บางส่วน จนไทรันดาคิดว่าตนมาถึงจุดจบแล้ว ทว่า ใครคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยเหลือเธอข้ามประตูมิติ ไปสู่สถานที่ที่ปลอดภัย และใครคนนั้นก็คือ อิลลิดัน
ไทรันดาไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่เธอก็ได้พบมัลฟูเรี่ยนซึ่งกำลังให้ความร่วมมือกับอิลลิดันเป็นอย่างดี (เหตุผลก็คือเจ้าชายคาเอลธัสบอกความจริงเรื่องที่เมอีฟทิ้งให้ไทรันดาตกอยู่ในอันตราย ซึ่งเมอีฟก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศพวกพ้อง มัลฟูเรี่ยนจึงร่วมมือกับอิลลิดันเพื่อตามหาไทรันดา) มัลฟูเรี่ยนเป็นบุคคลที่มีความยุติธรรมสูงส่ง เขาเห็นคุณค่าการกระทำของอิลลิดันที่พยายามช่วยเหลือไทรันดา แต่อย่างไรอิลลิดันก็ได้กลายเป็นกึ่งปีศาจ และเขาก็เป็นต้นเหตุของความสูญเสียหลายๆอย่างในสงครามที่ผ่านมา เขาสมควรได้รับโทษทัณฑ์ ซึ่งอิลลิดันก็สำนึกและเข้าใจในคำพูดของพี่ชายเป็นอย่างดี
อิลลิดันกระโดดเข้าประตูมิติอีกบานหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่เมอีฟตามมาถึงพอดี หล่อนโกรธเคืองมัลฟูเรี่ยนอย่างมากที่ปล่อยให้อิลลิดันหนีไปได้ เธอจึงนำกำลังไล่ตามไปประตูมิติบานนั้น ไทรันดาร้องขอให้เมอีฟหยุดไล่ล่าอิลลิดัน แต่มัลฟูเรี่ยนก็ปรามไทรันดาเอาไว้แล้วให้เหตุผลว่าเวลานี้เมอีฟไม่ฟังเหตุผลใดทั้งสิ้น หล่อนตกอยู่ในความชิงชังจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว (สุดท้ายอิลลิดันก็ถูกจับกุมตัวได้ แต่เลดี้วาชกับเจ้าชายคาเอลธัสก็เข้ามาช่วยเหลืออิลลิดัน)
ไทรันดารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับช่วงเวลาแห่งสงครามและความขัดแย้งอันยาวนาน เธอกล่าวชักชวนมัลฟูเรี่ยนให้กลับสู่ป่าแอสเฮ็นเวล อันเป็นบ้านที่สุขสงบที่สุดสำหรับเธอ<iframe title="YouTube video player" width="480" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/SfLJTM-W42M" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>